: อิมาม โคมัยนีย์ : อากีดะฮฺ(ความเชื่อ)ของอิมามโคมัยนีย์ - อิมาม โคมัยนีย์ กับการอุตริ(บิดอะฮฺ)ในศาสนา

ผู้ดูแลเว็บไซต์

25/8/1425

แนะนำผู้อื่น

พิมพ์บทความนี้


อิมาม โคมัยนีย์ กับการอุตริ(บิดอะฮฺ)ในศาสนา

อิมาม โคมัยนีย์ กับการอุตริ(บิดอะฮฺ)ในศาสนา

ดร.มูซา อัลมูซาวีย์ กล่าวในหนังสือ อัษเษาเราะฮฺ อัลบาอีสะฮฺ

หัวข้อ โคมัยนีย์ กับการอุตริในศาสนา

 

โคมัยนีย์ได้กระทำเรื่องอุตริ(บิดอะฮฺ)ในศาสนามากมาย ข้าพเจ้าได้ชี้แจ้งแก่ชาวอีหร่านฝ่านรายการวิทยุถึงการกระทำดังกล่าวแล้ว ฉันพยายามนำเสนอเรื่องดังกล่าวเพื่อให้อุลามาอ์และนักพัฒนาสังคมอิสลามได้รับรู้ หากบรรดาอุลามาอ์นิ่งเฉยต่อการอุตริในศาสนาอิสลามที่โคมัยนีย์กระทำไว้นั้น แน่นอนว่าจะมีการเกิดมัซฮับใหม่ขึ้นมาที่มีชื่อว่า อัลโคมัยนียะฮฺ และยังมีมัซฮับ อัลบะฮาอียะฮฺและอัลกอดารียะฮฺอีก

 ฉันขอเชิญชวนอูลามาอ์อิสลามในการจัดตั้งศาลชั้นสูงซึ่งเป็นศูนย์รวมคณะนักการศาสนาอาวุโสจากชาวมุสลิมเพื่อพิพากษาโคมัยนีย์ในการอุตริของเขาต่อศาสนาอิสลามเพื่อสังคมได้รับรู้สิ่งที่โคมัยนีย์กระทำต่ออิหร่าน มุสลิมนั้นไม่ใช่ส่วนหนึ่งของศาสนาอิสลาม(กล่าวคือ เมื่อเป็นมุสลิมแล้วเขาไม่มีสิทธิที่จะกุเรื่องใดๆในศาสนา) ความจริงแล้วศาสนาอิสลามบริสุทธิ์จากมุสลิม(กล่าวคือ อิสลามคือศาสนบัญญัติซึ่งอัลลอฮฺเป็นผู้ประทานโองการต่างๆโดยที่มุสลิมหรือผู้นับถือศาสนาอิสลามไม่ได้เกี่ยวข้องในเรื่องบทบัญญัติแห่งศาสนา มุสลิมมีหน้าที่ปฏิบัติตามมิใช่กุในเรื่องของศาสนา)

 

ท่านรสูล ศอลล็อลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม กล่าวว่า "เมื่อใดที่มีการเกิดบิดอะฮฺ(อุตริในศาสนา) วาญิบสำหรับผู้รู้ต้องให้ความกระจ่างแห่งข้อเท็จจริง หากผู้รู้เงียบเฉย เขาจะต้องได้การสาบแช่งจากพระเจ้า" และรสูล ศอลล็อลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในหะดิษบทอื่นว่า "คนที่เงียบเฉยจากการนำเสนอสัจธรรม เขาผู้นั้นเปรียบเสมือน ชัยตอนที่ใบ้"

 

ถึงเวลาแล้วที่อูลามาอ์อิสลามจะต้องนำเสนอความรู้และทัศนะของเขาต่อสิ่งอันตรายที่สุดที่เกิดขึ้นในศาสนาอิสลามยุคปัจจุบัน ซึ่งอิสลามต้องเผชิญกับการอุตริ, เรื่องปลอม, การโกหก และหลอกลวงทางที่บางกลุ่มนำไปอ้าง เหตุทำให้ภาพพจน์แห่งอิสลามและอูลามาอ์ต้องเสียหาย

ฉันขอเชิญชวนทุกท่านในการเผยการอุตริที่โคมัยนีย์กระทำต่อศาสนาอิสลาม และฉันขอนำเสนอในสิ่งที่เขาอุตริในศาสนาอิสลามดังนี้

1.   โคมัยนีย์ได้นำชื่อของเขาใสในอาซานเพื่อละหมาดห้าเวลา และกล่าวชื่อของเขาก่อนท่านรสูล ศอลล็อลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม การอาซาน ณ.มัสยิดทุกแห่งในอิหร่านหลังจากโคมัยนีย์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้นำดังนี้  "อัลลอฮุอักบัร อัลลอฮุอักบัร, โคมัยนีย์ เราะฮฺบัร" หลังจากนั้นจึงกล่าว "อัชฮะดุ อันนะมูหัมมัด รสูลลุลลอฮฺ" คำว่า "เราะฮฺบัร" หมายถึง "ผู้นำ"

ยกเว้น มัสยิดโกฮู ซึ่งอิมามตอบาตอบาอีย์ อัลกุมมีย์ ไม่อนุญาตให้อุตริดังกล่าวเขามาในมัสยิดซึ่งเป็นที่เขาทำการละหมาด ทำให้เกิดความดีขึ้น แต่อัลลอฮฺได้กำหนดให้อิมามตอบาตอบาอีย์ชนะโคมัยนีย์ในที่สุด[1]

2.   เมื่อกล่าวถึงท่านนบี ศอลล็อลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ในสังคมอิสลาม ผู้ฟังหรือผู้ที่ได้ยินก็จะกล่าวสรรเสริญท่านนบีด้วยความยิ่งใหญ่และทรงเกียติ แต่ในประเทศอิหร่านทุกวันนี้ เมื่อกล่าวถึงโคมัยนีย์ ชาวอิหร่านจะสรรเสริญโคมัยนีย์สามครั้ง

บัซรอกาน กล่าวในสุนทรพจน์ว่า ท่านจะตอบอย่างไร หากท่านรสูลกล่าวว่า “ท่านสรรเสริญฉันแค่หนึ่งครั้ง แต่ท่านสรรเสริญลูกของฉันสามครั้ง” บัซรอกาน กล่าวว่า ลูกของท่านนบี เขาหมายถึง โคมัยนีย์ เพราะโคมัยนีย์ อ้างว่าเขาเป็นลูกหลานของท่านนบี

3.   โคมัยนีย์ปฏิเสธการคืนดีหรือประนีประนอมกับอิรักซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นมุสลิม ทั้งๆที่อัลกุรอานได้กล่าวว่าเป็นวาญิบให้ประนีประนอมหรือคืนดีระหว่างมุสลิมด้วยกันในทุกสถานการณ์ โดยที่อย่าไปมองสาเหตุของเรื่องหรือฝ่ายใดเป็นผู้ริเริ่มก่อน และสั่งให้ลงโทษด้วยการปลดชีวิตผู้ที่ปฏิเสธที่จะคืนดีต่อกัน ดังโองการที่อัลลอฮฺทรงตรัสในอัลกุรอานดังนี้

ความว่า หากมีสองฝ่ายจากบรรดาผู้ศรัทธาทะเลาะวิวาทกัน พวกเจ้าก็จงไกล่เกลี่ยระหว่างสองฝ่าย หากฝ่ายหนึ่งในสองฝ่านนั้นละเมิดอีกฝ่ายหนึ่ง พวกเจ้าก็จงปรามฝ่ายที่ละเมิดจนกว่าฝ่ายนั้นจะกลับสู่พระบัญชาของอัลลอฮฺ

 

4.      โคมัยนีย์สังหาร อัลมะรอบีย์ เสมือนศาลแห่งศาสนบัญญัติ

5.   โคมัยนีย์สังหารผู้ต่อต้านการเมืองของเขาจำนวนหลายพันคน โดยเขาเรียกพวกนั้นว่าคนเลวที่ทำให้โลกเสื่อมเสีย

6.   โคมัยนีย์สังหารเผ่าเล็กๆที่ขอสิทธิของพวกเขาเป็นจำนวนหลายพันคน โดยให้นามว่าพวกนั้นเป็นกาฟิรที่ครอบครองอาวุธอย่างเปิดเผยซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศอิสลาม

7.   การพิพากษาภายใต้การปกครองโคมัยนีย์ตัดสินคดีอย่างรวดเร็วโดย100นาที ตัดสินคดี100คดี(ปราศจากการไตรตรองหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง)

8.      โคมัยนีย์สังหารกลุ่มลักลอกค้ายาเสพติด

9.      โคมัยนีย์ อายัดทรัพย์คนรวย โดยอ้างว่าจะเอาไปช่วยคนยากลำบาก

10. โคมัยนีย์ ยึดวิลายะฮฺฟากีฮฺในการปกครองโดยที่ถือเอาตัวเองเป็นว่าผู้ปกครองตามโองการของอัลลอฮฺ แต่เขาทำทุกอย่างในสิ่งที่เขาปรารถนาและหุกม(ตัดสิน)ทุกสิ่งตามที่ตัวเขาต้องการ

11. โคมัยนีย์แต่งตั้งตัวเขาเองให้เป็นมงกุฏราชกุมาร โดยเรียกตัวเขาเองว่า ฮุเสน อาลี มุนตาซิรีย์ เสมือนวิธีที่ มุอาวียะฮฺ บิน อบีซุฟยาน แต่งตั้งลูกของเขาทีมีนามว่า ยาซีด ให้เป็นผู้ปกครองแห่งอิสลาม ทั้งๆการเป็นผู้นำต้องผ่านการคัดเลือก

12. การแตกแยกระหว่างมุสลิมนำไปสู่การหนองเลือดเป็นจำนวนมาก

 

จากหนังสือ อัษเษาเราะฮฺ อัลบาอีสะฮฺ โดย ดร.มูซา อัลมูซาวีย์



[1] อิมามตอบาตอบาอีย์ อิอฺติกาฟ(แยกตัวออกจากสังคมเพื่ออยู่ในที่สงบ) ในบ้านของเขาเป็นเวลาหนึ่งปี


 

จากหนังสือ อัษเษาเราะฮฺ อัลบาอีสะฮฺ โดย ดร.มูซา อัลมูซาวีย์